วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554







ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso) 
                  
     







             เป็นจิตรกรเอกของโลก ที่ได้รรับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20
                  ปีกัสโซเกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1881 ที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เป็นบุตรชายคนโตของ ดอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (Don Jose Ruiz สเปน : Don José Ruiz y Blasco) กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ (Maria Picasso Ruiz ; สเปน : María Picasso y López) บิดาของปิกัสโซเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย เมื่อตอนเป็นทารก ปิกันโซ่ พูดคำว่า "piz, piz" [มาจากคำว่า "lápiz" (ลาปิซ) ที่แปลว่าดินสอในภาษาสเปน] เป็นคำแรก แทนที่จะพูดคำว่า "แม่" เหมือนเด็กทั่วไป
           ปีกัสโซได้รับจานสีและพู่กันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 6 ขวบจากบิดา เขาฉายแววการเป็นศิลปินระดับโลก เมื่อครั้งนึงที่บิดาของปีกัสโซกำลังวาดรูปนกพิราบของเขาอยู่นั้น สิ่งที่น่าทึ่งก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อบิดาของเขาออกไปจากห้องเพื่อทำอะไรบางอย่าง ปีกัสโซได้เข้าไปในห้อง แล้ววาดภาพนกพิราบต่อจนเสร็จ เมื่อบิดาเขากลับเข้ามาจึงได้พบว่าภาพที่วาดนั้น เสร็จสมบูรณ์และมีพลังมากกว่าที่ตนเองวาดเสียอีก

ผลงานของปิกัสโซมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงศิลปะภาพสีพู่กัน (painting), ภาพวาด (drawing), รูปหล่อ รูปปั้น (sculpture), ภาพพิมพ์ (printmaking) และ เครื่องเคลือบดินเผา (ceramics) ปิกัสโซสร้างสรรงานใหม่ๆ ขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เขาเคยใช้ส่วนต่างๆ ของวัสดุในงานศิลปะของเขา ครั้งหนึ่งเขาใช้ชิ้นส่วนเก่าของรถจักรยาน ในการทำงานหล่อ ที่ชื่อ Bull's Head

ชีวประวัติของปิกัสโซจะแตกต่างจากจิตรกรชื่อดังหลายๆ คนที่ เมื่อเสียชีวิตจิตรกรเหล่านั้นจะยากจน และไม่เป็นที่รู้จัก ขณะที่ปิกัสโซร่ำรวยและได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นจิตรกรเอกก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1973 (8 เมษายน ค.ศ. 1973) เมื่อเขาอายุได้ 91 ปี


ผลงานของปิกัสโซ


portrait of picasso  Portrait of Picasso  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1912
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ







Man in th Cafe  Man in the Cafe  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1912
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ







Le Lavabo  Le Lavabo  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1912
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบด้วยกระดาษและกระจก








Landscape with Houses at Ceret  Landscape with Houses at Ceret  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1913
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ







Landscape at Ceret  Landscape at Ceret  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1913
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ







The Man at the Cafe  The Man at the Cafe  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1914
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนกระดาษติดลงบนผืนผ้าใบ







Still Life before an Open Window: Place Ravignan  Still Life before an Open Window: Place Ravignan  วาดเมื่อปี ค.ศ. 1915
  เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ







ภาพเขียนของปีกัสโซแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ ได้ ดังนี้
Blue Period 1901-1904 (ยุคสีน้ำเงิน)
Rose Period 1904-1906 (ยุคสีชมพู)
African-Influenced Period
Cubism (บาศกนิยม)
Classicism and surrealism (ยุคคลาสสิกและเหนือจริง)
Later works (ยุคสุดท้าย) 

                1. Blue Period ยุคบลู 1901-1904 ชื่อยุคก็บอกแล้วว่าเป็นยุคทึม ๆ เศร้า ๆ มีอยู่ครั้ง ปิกัสโซ กลับมาปารีส รู้ข่าวเพื่อนคนหนึ่งชื่อ Calos Casagemas ฆ่าตัวตาย เลยไปนั่งหดหู่ อาลัยอยู่อพาร์ทเม้นต์เพื่อนคนนั้น นั่งไปนั่งมาก็ได้รับแรงบันดาลใจสร้างศิลปะแขนงใหม่ ด้วยเทคนิคแบบโมโนโครม (monochromatic painting) คือใช้สีหลัก ๆ สีเดียว สียุคบลูคือสีน้ำเงิน หรือน้ำเงินเขียว วาดภาพ “La Mort de Casagemas” แปลว่า “มรณกรรมของกาซาจมาส”




ภาพ “La Mort de Casagemas” - ภาพ "The Old Guitarist"


ภาพที่ปิกัสโซวาดแนวนี้ มักเป็นเรื่องหนัก ๆ (อีกอย่าง ตอนนั้นปิกัสโซก็จน ๆ ด้วย เลยเห็นอะไรหดหู่ไปหมด) อย่างเช่น ภาพขอทาน คนตาบอด คนเมา โสเภณี พวกนี้ (ฟังแล้วหนักหัว ไม่ค่อยชอบเท่าไรแฮะ) ภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แนวนี้ คือ ภาพ The Old Guitarist ที่วาดขึ้นในปี 1903 ตอนนี้ภาพอยู่ที่ Chicago Art Institute

                2. Rose Period ยุคโรส 1904-1906 พ้นจากช่วงบลู ก็ดูสดใสขึ้น คือช่วงโรส สีชมพู ชื่อก็บอกอยู่ แล้วว่าโลกนี้สีชมพู เพราะปิกัสโซได้พบรักแรกกับศิลปินนางแบบสาวชาวฝรั่งเศสชื่อ Fernande Olivier ตอนนั้นปิกัสโซอายุ 23 แฟนสาวเพิ่ง 18 ผลงานเลยออกมาตรงกันข้าม กับยุคบลูเห็นๆ ภาพที่มีชื่อเสียงมากและมีราคาสูงมากคือ Garçon à la Pipe (Boy with a Pipe เจ้าหนุ่มสูบไปป์)





ภาพ “ Garçon à la Pipe” - ภาพ "Family of Satimbanque"

               3. African-Influenced Period 1906-1909 ยุคแอฟริกัน หรือ ยุคนิโกร ได้รับอิทธิพลจากแอฟริกาซึ่ง สะท้อนลงบนผลงานมีชื่อหลายชิ้นได้แก่ Les Demoiselles d'Avignon ที่เขานำมา แสดงที่เซียงไฮ้นี้ด้วย ภาพนี้เป็นภาพที่ต่อเชื่อมกับยุคสำคัญช่วงต่อไป คือ ยุค cubism หรือ ภาพบาศก์นิยม





อิทธิพลจากแอฟริกา - ภาพ “ Les Demoiselles d'Avignon”

                4. Cubism 1910-1919 เข้าสู่ยุคภาพแบบ abstract ขอตัดเอานิยามมาจากความรู้ประวัติศิลปะที่ เว็บไซต์บ้านจอมยุทธ “พาโบล ปิกัสโซ เขาสร้างรูปทรงเป็นแบบเรขาคณิต นำโครงสร้าง มาแยกย่อยแล้วประกอบเข้ากันใหม่ ใช้สีแบน ๆ บางทีเอาด้านหน้าและด้านหลัง มาประกอบพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ผู้ดูได้เห็นวัตถุนั้นทั้งสองด้านในคราวเดียวกัน เป็นการแก้ ปัญหาของภาพเขียนที่มีเพียงสองมิติและตาเห็นได้แค่ด้านเดียว หลักสุนทรียศาสตร์อยู่ที่ กฎของการควบคุมความรู้สึกอารมณ์การแสดงออกต้องมีการพิจารณากลั่นกรองเสียก่อน ใช้สีมัว ไม่สด ไม่รุนแรง”





ภาพ "Le Guitariste" - ภาพ “Woman in Red Armchair”


                   5. Classicism and surrealism หลังยุคคิวบิสซึ่ม ปิกัสโซก็กลับมาวาภาพเหมือนจริงใหม่อีกครั้ง ยุคนี้เขาเรียกว่ายุคนีโอคลาสสิค ในประมาณช่วง 1920s หลังจากนั้น ศิลปะเขาก็ได้รับ อิทธิพลจากสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรปช่วง 1930s ได้แก่ สงครามกลางเมืองในสเปน จึง สะท้อนความรู้สึกออกมาทางผลงานศิลปะในแนวเหนือจริง หรือที่เรียกว่า Surrealism เป็นกาสร้างผลงานเชิงฝันเฟื่องเหนือจริง เป็นการแสดงออกเพื่อให้ประชดสังคมในช่วงนั้น





ภาพ Classicism "The Barefoot Girl" - ภาพ Surrealism “Guernica”


                   6. Later works (ยุคสุดท้าย) ในช่วงปลายชีวิตของปิกัสโซ่ แนวทางศิลปะของเขาก็เปลี่ยนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาได้อิงการตีความจากผลงานของนักเขียนที่มีชื่อคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Manet (มาเน่ต์), Delacroix (เดอลาครัวซ์) หรือ Poussin (ปุสแซ็ง) ดังนั้น ผลงานของปิกัสโซใน ช่วงท้าย ๆ จึงเป็นสไตล์คละกันหลายแนว





ภาพ "Necklace" - ภาพ “Nigh Fishing in Antibes”
















Pablo Picasso "พลังแห่งการสร้างสรรค์"





ปาโบล ปีกัสโซ
(Pablo Picasso)
1881-1973


ศิลปินผู้มีทักษะอันหลากหลายทั้งทางด้านงานวาด งานเขียน ประติมากรรม งานเครื่องปั้นและงานเครื่องเคลือบ (เซรามิก) และเป็นจิตรกรเอกของโลก ซึ่งนิตยสาร TIME ยกให้เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20


ปีกัสโซเกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปี ค.ศ.1881 ที่เมืองมาลากา (Malaga) เมืองท่าอันเก่าแก่ทางตอนใต้ของสเปน โดยปิกัซโซเป็นบุตรชายของ Jsoe’ Ruiz Blasco อาจารย์สอนศิลปะ โรงเรียนศิลปะแห่งเมือง Barcelona ซึ่งปิกัสโซ่ก็ได้เข้าศึกษาต่อทางด้านศิลปะที่เดียวกันกับที่บิดาได้สอนศิลปะนั่นเอง


ปิกัสโซ่ฉายแววการเป็นศิลปินระดับโลกด้วยการเปล่งเสียงเรียก คำแรกหลังจากที่เขาเริ่มพูดได้ นั่นคือ คำว่า lápiz (ลาปิซ) ที่แปลว่า ดินสอ แทนที่เขาจะเรียกคำแรกว่า แม่ เหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป ในวัยเด็กถ้าเขาไม่ได้อุ้มนกพิราบที่เขาเลี้ยงไว้ไปโรงเรียนด้วยละก็ เขาจะไม่ไปโรงเรียนเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมไปจนกว่าจะได้พามันไปด้วย และมีอยู่ครั้งนึงที่บิดาของปีกัสโซกำลังวาดรูปนกพิราบของเขาอยู่นั้น สิ่งที่น่าทึ่งก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อบิดาของเขาออกไปจากห้องเพื่อทำอะไรบางอย่าง ปีกัสโซได้เข้ามาในห้องและวาดภาพนกพิราบตัวนั้นด้วยมือของเขาเองต่อจากบิดาเขาจนเสร็จ ซึ่งประจักษ์ต่อมาภายหลังว่าภาพที่วาดไว้ตอนแรกนั้นเสร็จสมบูรณ์และมีพลังมากกว่าที่ตัวผู้เป็นบิดานั้นวาดซะอีก ซึ่งต่อมา ปิกัสโซ่มักจะนำนกพิราบนั้นเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะของปิกัสโซ่ในหลายๆภาพ และเป็นที่มาของสัญลักษณ์นกพิราบแห่งสันติภาพ (Dove of Peace) อันโด่งดังนั่นเอง




Title: Blue Dove
Artist : Pablo Picasso
Year: 1961


ตอนอายุ 10 ปีครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ในเมืองลาโครูญา (La Coruna) ปิกัซโซ่ได้เริ่มฝึกหัดวาดลายเส้นจากการสอนอย่างเป็นระบบโดยบิดาเป็นผู้สอน ซึ่งปิกัสโซ่ได้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ และใช้เวลาแต่ละวันส่วนใหญ่ทุ่มเทให้แก่การวาดเขียน เพราะฉะนั้นความสามารถด้านวิจิตรศิลป์จึงปรากฏให้เห็นเด่นชัดในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่งอายุ 19 ปี เขาได้เดินทางไปปารีส (Paris) ดินแดนที่ระอุไปด้วยกลิ่นไอของศิลปะสมัยใหม่ เขาเริ่มเขียนรูปอย่างเอาเป็นเอาตายตอนอายุ 21 ปี ชื่อของเขาเริ่มขจรขจายตั้งแต่บัดนั้นมา ในฐานที่เขาเป็นผู้สานแนวคิดทางบาศก์นิยม (Cubism) มาจากศิลปินกลุ่ม POST-IMPRESSIONISM และประสบความสำเร็จอย่างงามในแนวทาง Cubism


ผลงานศิลปะและงานจิตรกรรมของปิกัสโซ่มีพัฒนาการและแบ่งตามห้วงเวลาในช่วงชีวิตของปิกัสโซ่ โดยแบ่งออกได้เป็นสามช่วงใหญ่ๆดังนี้







ยุคสีฟ้า (Blue Period)
ปี ค.ศ.1901-1904


ปิกัสโซ่ใช้เทคนิคการเขียนด้วยโทนสีน้ำเงิน ภาพส่วนใหญ่แสดงถึง ความอดยาก แร้นแค้น ซึมเศร้า ของผู้คน และสภาพแวดล้อม โดยใช้สีโทนน้ำเงินซึ่งดูเย็นชาและหม่นมัว โดยที่มาเกิดจากที่เพื่อนของปิกัสโซ่ที่ชื่อ Casagemas ได้ฆ่าตัวตายลง ซึ่งให้ปิกัสโซ่เกิดความสะเทือนใจ เสียใจเป็นอย่างมาก และเขาเลยได้แสดงความรู้สึกนี้ ออกมาทางภาพเขียน และสอดคล้องในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒธรรมในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองบาร์เซโลน่ากับปารีสเอง ผลงานในช่วงนี้ อาทิเช่น




Title: The Old Guitarist
Artist : Pablo Picasso
Year: 1903









ยุคสีชมพู (Rose Period)
ปี ค.ศ.1904-1906


ปิกัสโซเริ่มหันมาใช้สีโทนร้อน แสดงออกในรูปของความร่าเริง เน้นพวกธีมของโลกละครสัตว์ สีสรรจะดูสดใส สว่างตามากขึ้นโดยอาศัยสีชมพูเป็นพื้นฐาน


ยุคบาศก์นิยม (Cubism)
ปี ค.ศ.1906-1973


ช่วงปลายปี 1906 ปิกัสโซ่เริ่มคิดแนวการวาดภาพแบบใหม่ โดยมี ผลงานของ เซซาน เป็นแรงบันดาลใจ รวมกับผลงาของ เฮนรี่ มาติส โจอัน มิโร และ จอร์ช บราค์ เพื่อนสนิทของปิกัสโซ่เป็นตัวจุดประกาย เขาเริ่มการวาดภาพที่ประกอบไปด้วยรูปทรงทางเรขาคณิตเป็นหลัก ความพยายามตอนแรก เขาได้ลองกับประติมากรรมก่อนจะพัฒนามาเป็นจิตรกรรมและงานวาด ผลงานในแบบ Cubism ของปิกัสโซ นับว่าโดดเด่นที่สุดในวงการศิลปะ





วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ภัยธรรมชาติ

         ภัยธรรมชาติ นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ หรือมนุษย์ได้ทำให้มันเกิดขึ้นมา ภัยธรรมชาติมีหลายรูปแบบแตกต่างกันไปบางอย่างร้ายแรงน้อย บางอย่างร้ายแรงมากซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น การเกิดอุทกภัยหรือน้ำท่วม การเกิดพายุ การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น ซึ่งภัยธรรมชาติต่างๆไม่ว่าจะร้ายแรงมากหรือน้อยก็เกิดขึ้นได้ทุกเวลาโดยที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งตัว แบ่งเป็น 8 ประเภท

1. วาตภัย ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจาก พายุลมแรง แบ่งได้ 2 ชนิด

1.1 วาตภัยจากพายุฤดูร้อน จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน เกิดจากกระแสอากาศร้อนยกขึ้นเบื้องบนอย่างรุนแรง และรวดเร็ว เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและอาจมีลูกเห็บทำความเสียหาย ได้ในบริเวณเล็กๆ ช่วงเวลาสั้นๆ ความเร็วลมประมาณ 50 กม./ชม. ทำให้สิ่งก่อสร้าง บ้านเรือน พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เป็นอันตรายแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ได้
1.2 วาตภัยจากพายุฤดูหมุนเขตร้อน จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เป็นพายุที่เกิดขึ้นเหนือทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตร้อน มีศูนย์กลางประมาณ 200 กม. มีลมพัดเวียนรอบศูนย์กลางทิศทวนเข็มนาฬิกา ศูนย์กลางเป็นวงกลมประมาณ 15-60 กม. เรียกตาพายุ มองเห็นได้จากภาพเมฆดาวเทียม เมื่อเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามทำความเสียหายให้บริเวณที่เคลื่อนผ่าน ตามลำดับความรุนแรง
2.อุทกภัย ภัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำเป็นสาเหตุ อาจจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่า หรืออื่น ๆ โดยปกติ อุทกภัยเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน บางครั้งทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม อาจมีสาเหตุจากพายุ หมุนเขตร้อน ลมมรสุมมีกำลังแรง ร่องความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง อากาศแปรปรวน น้ำทะเลหนุน แผ่นดินไหว เขื่อนพัง ทำให้เกิดอุทกภัยได้เสมอ แบ่งได้ 2 ชนิด

1.1 อุทกภัยจากน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน เกิดจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง ดินดูดซับไม่ทัน น้ำฝนไหลลงพื้นราบอย่างรวดเร็ว ความแรงของน้ำทำลายต้นไม้ อาคาร ถนน สะพาน ชีวิต ทรัพย์สิน

1.2 อุทกภัยจากน้ำท่วมขังและน้ำเอ่อนอง เกิดจากน้ำในแม่น้ำ ลำธารล้นตลิ่ง มีระดับสูงจากปกติ ท่วมและแช่ขัง ทำให้การคมนาคมชะงัก เกิดโรคระบาด ทำลายสาธารณูปโภค และพืชผลการเกษตร
3.ทุกขภิกขภัย ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจาก ฝนแล้ง ไม่ตกตามฤดูกาล มีสาเหตุจาก พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านประเทศไทยน้อย ร่องความกดอากาศต่ำมีกำลังอ่อน มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังอ่อน เกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน หรือเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญรุนแรง ทำให้ฝนน้อยกว่าปกติ ทำให้ผลผลิตการเกษตรเสียหาย ขาดน้ำ เหี่ยวเฉา แห้งตายในที่สุด โรคพืชระบาด คุณภาพด้อยลง อุตสาหกรรมเกษตรเสียหาย ขาดแคลนอุปโภค บริโภค กระทบกับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ
4.พายุฝนฟ้าคะนอง ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากฝนฟ้าคะนอง และลมแรง อากาศร้อนลอยสูงขึ้น อากาศข้างเคียงไหลเข้ามาแทนที่ ไอน้ำกลั่นตัวเป็นเมฆ ทวีความสูงมากขึ้น มองเห็นคล้ายทั่งตีเหล็กสีเทาเข้ม มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง บางครั้งมีลูกเห็บ หากตกต่อเนื่องหลายชั่วโมง อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน อาจ เกิดพายุลมหมุนหรือ พายุงวงช้างมีลมแรงมาก ทำความเสียหายบริเวณที่เคลื่อนผ่าน
5.คลื่นพายุซัดฝั่ง ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนที่เข้าหาฝั่ง ความสูงของคลื่นขึ้นกับความแรงของพายุ
6.แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานใต้พิภพ ทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินเลื่อน ถล่ม และเกิดจากมนุษย์ เช่นระเบิดนิวเคลียร์
7.แผ่นดินถล่ม การเกิดดินถล่ม เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ป้องกันได้ยากแต่เราก็สามารถลดปัจจัยความเสี่ยงได้ ถ้าเรามีการเตรียมพร้อมเฝ้าระวังที่ดีแล้ว จะลดความเสียหายได้แน่นอน
8.ไฟป่ ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากมนุษย์เป็นส่วนมาก ได้แก่การเผาหาของป่า เผาทำไร่เลื่อนลอย เผากำจัดวัชพืช ส่วนน้อยที่เกิดจากการเสียดสีของต้นไม้แห้ง ปลายเดือนกุมภาพันธ์-ต้นพฤษภาคม ทำให้เกิดมลพิษในอากาศมากขึ้น ผงฝุ่น ควันไฟกระจายในอากาศทั่วไป ไม่สามารถลอยขึ้นเบื้องบนได้ มองเห็นไม่จัดเจน สุขภาพเสื่อม พืชผลการเกษตรด้อยคุณภาพ แหล่งทรัพยากรลดลง